กลุ่มข้อมูลด้านสังคมศาสตร์
12 พ.ค. 2568
การพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนฐานทรัพยากรชุมชนเพื่อความยั่งยืน กรณีศึกษาตำบลบ้านแยง อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก
บทคัดย่อการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาและพัฒนาศักยภาพเกษตรกรสู่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยชุมชนบนฐานทรัพยากรชุมชนเพื่อความยั่งยืน (2) เพื่อสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสานเน้นกระบวนการงานวิจัยเพื่อท้องถิ่นในพื้นที่ชุมชนบ้านแยง อําเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก ใช้การตรวจสอบสามเส้า (triangulation) การจําแนก การวิเคราะห์ และสรุปเนื้อหาในประเด็นที่มีความสําคัญ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) การใช้สถิติ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการทวบทวนสถานการณ์การพัฒนาการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านแยงที่ผ่านมา พบว่า ควรมีการปรับเปลี่ยนและกระจายความรับผิดชอบในภาระกิจของชมรมท่องเที่ยวโดยชุมชน เนื่องจากสมาชิกบางท่านต้องแบกภาระหนักในการรับผิดชอบงานของชมรมท่องเที่ยว ฯ จึงเปิดโอกาสให้แก่สมาชิกใหม่เข้าร่วมกระบวนการพัฒนาการท่องเที่ยว ส่งผลให้เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ในการพัฒนา เช่น การขยายความร่วมมือกับภาคการเกษตรวางแผนรักษาคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวใหม่ เกิดความกระตือรือร้น มีแรงบันดาลใจ มั่นใจและมีพลังในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพิ่มขึ้น และควรมีการจัดประชุมหารือกันอย่างสม่ําเสมอ จากการสํารวจพฤติกรรมนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนบ้านแยงระหว่างปี พ.ศ.2563-2566 พบว่า มีนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในชุมชนจํานวน 9,129 คน ติดต่อผ่านชมรมท่องเที่ยวฯ จํานวน 331 คน ร้อยละ 3.63 และติดต่อกับเจ้าของสวนโดยตรงมีจํานวน 8,798 คน ร้อยละ 96.37นักท่องเที่ยวกลุ่มผู้สูงอายุมีจํานวนสูงที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มครอบครัว กิจกรรมที่นิยมมากที่สุดคือ การชมสวนและรับประทานทุเรียน ผลการประเมินศักยภาพเกษตรกรผู้ประกอบการท่องเที่ยวหลังการพัฒนาศักยภาพพบว่า เกษตรกรมีคุณสมบัติการเป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยชุมชนเพิ่มขึ้นในทุกด้าน มากที่สุดคือ นักคิด ช่างสงสัยร้อยละ 100 รองลงมาคือ ต้องการเจริญก้าวหน้า,แสวงหาโอกาส,กล้าตัดสินใจ,มุ่งมั่นในสิ่งที่ทํา,มีวิสัยทัศน์,พร้อมรับความเสี่ยง ร้อยละ 92.86 ด้านที่เพิ่มมากที่สุดคือ มีวิสัยทัศน์ ร้อยละ 116.67 พบว่าเกษตรกรที่เข้ารับการพัฒนามีศักยภาพเป็นผู้ประกอบการจํานวน 14 ราย สามารถวิเคราะห์ความคุ้มค่าในการลงทุนและมีแนวคิดที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวเพื่อความยั่งยืน ระหว่างการพัฒนาสามารถสร้างความตระหนักเรื่องการขอการรับรองมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตร คํานึงถึงความปลอดภัย ความสะอาดและสุขอนามัย จัดพื้นที่ (Zoning) ให้ความสําคัญกับความเป็นส่วนตัวของนักท่องเที่ยว ขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยวใหม่ได้ 4 ผลิตภัณฑ์คือ 1) บริการอาหารเครื่องดื่มในสวนเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ มีการจํากัดเวลาเปิดปิด เพื่อลดความเสี่ยงด้านต้นทุนและกิจกรรมทําเทียนหอม 2) บุฟเฟ่ต์ทุเรียน 3)ทุเรียนเฟรนซ์ฟรายส์ 4) บริการเต็นท์พักแรม การกําหนดจุดจําหน่ายผลิตภัณฑ์ของฝากของที่ระลึก การวางแผนการให้บริการ การจัดทําเอกสารและแนวทางการลดความเสี่ยง เช่น การคิดต้นทุนผลิตภัณฑ์ การออกแบบจุดเช็คอินท์จากวัสดุในชุมชนใช้เงินลงทุนน้อยแต่แสดงถึงเอกลักษณ์ชุมชนเพื่อทําการตลาดโดยให้นักท่องเที่ยวมีส่วนสนับสนุนร่วมการประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ชุมชน รายได้ครัวเรือนหลังการพัฒนาโครงการ พบว่า กลุ่มรายได้อยู่ต่ํากว่าเส้นร้อยละ 40 ล่างของสังคมไทยร้อยละ 13.33 สูงกว่าร้อยละ 40 แต่ต่ํากว่าเส้นมัธยฐานร้อยฎละ 16.67 และ สูงกว่าเส้นมัธยฐานร้อยละ 70.00 เกิดความร่วมมือภาคีเครือข่ายภาครัฐ เอกชน ประชาชนและนักวิชาการมีจํานวน 44 ภาคี ภาคีเดิม 37 ร้อยละ 84.09 ภาคีใหม่ 7 ภาคี ร้อยละ 15.91 ลักษณะความสัมพันธ์แบบใกล้ชิดเป็นพันธมิตรและองค์กร ร้อยละ 47.74 และแบบพันธมิตรและองค์กร ร้อยละ 36.36 ซึ่งเป็นปัจจัยสําคัญต่อการพัฒนาการศักยภาพเกษตรผู้ประกอบการท่องเที่ยวโดยชุมชน เกิดการขยายผลกับชุมชนใกล้เคียงเนื่องจากเกษตรกรในชุมชนได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรและเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้การใช้ภูมิปัญญาทางการเกษตรเรื่องการปรุงดิน การปลูกและการดูแลทุเรียน เป็นต้นคําสําคัญ: การพัฒนาศักยภาพ, เกษตรกร, ผู้ประกอบการ, การท่องเที่ยว, อย่างยั่งยืน